ป้องกันเครื่องไฟฟ้าภายในบ้านจากไฟกระชาก ทำได้อย่างไร

การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่หลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ในบ้าน หรือที่ทำงาน อย่างไดร์เป่าผม ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อเกิดไฟกระชาก อาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหรือเกิดอันตรายได้ ดังนั้น การป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชากเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก โดยเน้นไปที่สิ่งที่ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนสามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากช่างไฟฟ้ามืออาชีพ

  1. ตรวจสอบสายไฟฟ้าและปลั๊กไฟ การตรวจสอบสายไฟฟ้าและปลั๊กไฟเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นที่สำคัญมากๆ เพราะถ้ามีสายไฟฟ้าหรือปลั๊กไฟที่ชำรุด อาจทำให้ไฟกระชากหรือเกิดอันตรายได้ ดังนั้น ให้ตรวจสอบว่าสายไฟฟ้าและปลั๊กไฟที่ใช้งานอยู่ในสภาพดี ไม่เสียหรือชำรุด

      2. อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก เช่น แรงดันไฟฟ้าตกต่ำ (Surge Protector) จะช่วยป้องกันไฟกระชากจากแรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในเครืองใช้ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นเพลง โดยอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากจะทำหน้าที่เป็นช่องทางการนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่อุปกรณ์โดยที่ไม่ให้ไฟกระชากหรือไฟระเบิดเกิดขึ้น

       3.ติดตั้งสายไฟรั่วไฟ สายไฟรั่วไฟ (Ground Fault Circuit Interrupter) จะช่วยป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชากได้โดยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกระแสไฟฟ้ารั่วไฟ (ground fault) สายไฟรั่วไฟจะตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปยังตัวเครื่อง ทำให้ไม่เกิดอันตรายจากไฟกระชาก

       4. การเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า การเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าให้ถูกต้องเป็นอีกหนึ่งวิธีการป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก การเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าให้ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากได้อย่างมากๆ ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ให้ใช้สายไฟฟ้าที่มีคุณภาพดี และเชื่อมต่ออุปกรณ์ตามคู่มือการใช้งาน เพื่อให้การใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างปลอดภัย

      5. การเคลือบผิวฉนวน การเคลือบผิวฉนวนสามารถช่วยลดการสะท้อนของไฟฟ้าและลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากได้ โดยการเคลือบผิวฉนวนจะช่วยลดความเป็นตัวนำของเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ไฟฟ้าไม่สะท้อนกลับมาที่ตัวเครื่องและลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากได้อย่างมากๆ

      6. การตรวจสอบอุปกรณ์ การตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งวิธีการป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก ให้ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนการใช้งานทุกครั้ง และตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ทุกๆ หนึ่ง-สองปี เพื่อหาความเสียหายหรือชำรุดที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้

    7. การป้องกันการเกิดฟ้าผ่า การป้องกันการเกิดฟ้าผ่า (Arc Fault) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก โดยอุปกรณ์ป้องกันการเกิดฟ้าผ่าจะตรวจจับสัญญาณความถี่ที่เกิดจากการรั่วไฟของอุปกรณ์โดยเฉพาะ เมื่อตรวจพบสัญญาณที่ไม่ปกติ อุปกรณ์จะใช้วิธีการตัดกระแสไฟฟ้าในทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากฟ้าผ่า

    8.การซ่อมบำรุงอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก ในการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ เช่น การเปลี่ยนสายไฟฟ้าที่ชำรุดหรือสายไฟที่มีสัญญาณขัดข้อง การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เช่น ปลั๊กไฟฟ้า สวิทช์ไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า อุปกรณ์เปิด-ปิดไฟฟ้า เป็นต้น การซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากและป้องกันอุบัติเหตุในการใช้งานได้อย่างมากๆ

 นอกจากการปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้แล้ว ยังมีเทคโนโลยีสำหรับป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชากเพิ่มเติมอีกมากมาย เช่น การใช้อุปกรณ์ตัวกรองกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้าเพื่อป้องกันการกระชาก การใช้อุปกรณ์ปรับแต่งคลื่นไฟฟ้า (surge protector) เพื่อป้องกันการกระชากและเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์ป้องกันฟ้าผ่า เช่น มีคอนเนคเตอร์ต้านไฟฟ้าสถิตย์ (lightning arrestor) ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารหรือโรงงาน เป็นต้น

 นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบอัตโนมัติ (smart home) ในการควบคุมการใช้ไฟฟ้า โดยระบบนี้สามารถควบคุมการเปิด-ปิดอุปกรณ์ได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการใช้สวิทช์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของสร้าง (Internet of Things: IoT) เพื่อควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นี้จะต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่าเดิม แต่สามารถสร้างความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานในระยะยาวได้เป็นอย่างมาก

 

อาการเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายจากไฟกระชากอาจไม่เห็นได้ชัดเจนเสมอไป แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณให้ระวังว่าอุปกรณ์ได้รับความเสียหายจากไฟกระชาก

  1. เครื่องใช้ไม่สามารถเปิดหรือทำงานได้
  2. มีเสียงดังหรือเป็นเสียงพิเศษจากเครื่องใช้
  3. มีกลิ่นหรือควันออกมาจากเครื่องใช้
  4. เครื่องใช้มีการดับตัวเองอย่างไม่ต้องการ
  5. เปลี่ยนแปลงในระบบไฟฟ้าเช่นไฟบ้านกระพริบกระดิก หรือไฟฟ้าไม่เสถียร

ในกรณีที่เกิดอาการดังกล่าว ควรหยุดการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ และตรวจสอบว่ามีการเสียหายหรือไม่ หากพบว่ามีการเสียหาย ควรนำเครื่องใช้ไปซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ โดยไม่ควรใช้งบประมาณที่ต่ำเพื่อซ่อมเครื่องใช้ หรือซื้อเครื่องใช้ใหม่ที่ราคาถูก ที่ไม่มีการป้องกันไฟกระชากหรืออุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าอื่นๆ นอกจากนี้ หากมีอาการผิดปกติที่ระบบไฟฟ้าในบ้าน เช่น ไฟบ้านกระพริบ ควรติดต่อช่างไฟฟ้ามาตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยเร็ว

การป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชากนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คำนึงถึง

นอกจากการตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย ยังมีวิธีการป้องกันไฟกระชากอย่างอื่นๆ ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. ใช้สายไฟที่มีคุณภาพดีและมีความหนาเพียงพอ ใช้สายไฟที่ผ่านมาตรฐานและมีคุณภาพดี เพื่อให้สายไฟมีความทนทานและป้องกันไฟกระชากได้ดีกว่า

  2. ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าในบ้านอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสายไฟที่เสียหาย หรืออาจจะมีการเสียหายของเครื่องมือหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ เช่น สวิทช์ ปลั๊กไฟ เป็นต้น รวมทั้งต้องทำการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้สมบูรณ์อยู่เสมอ โดยไม่ควรใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่มีสายไฟที่เสียหาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น

  3. ใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เช่น สายไฟที่มีปลั๊กไฟที่ป้องกันไฟกระชาก หรืออุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าอื่นๆ เช่น ไฟกระพริบ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันไฟกระชากได้

  4. อย่าเสียเวลาในการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า

  5. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในสถานะที่มีความชื้นสูง ความชื้นสูงอาจทำให้เกิดไฟกระชากได้ง่ายขึ้น ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในสถานะที่มีความชื้นสูง ควรใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการป้องกันไฟกระชากเช่นเดียวกับข้อ 3

  6. ระวังการใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่สาธารณะ หากต้องการใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่สาธารณะ ควรตรวจสอบเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนการใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นมีคุณภาพดีและมีการป้องกันไฟกระชากอย่างเหมาะสม

  7. อย่าสัมผัสกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสายไฟในสถานะที่เปียกชื้น เมื่อมีความชื้นสูง อย่าสัมผัสกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสายไฟเนื่องจากอาจเกิดไฟกระชากได้ง่ายขึ้น ควรระวังมากขึ้นเมื่อมีการใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในสถานะที่เปียกชื้น

  8. อย่าทำงานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อมีการซ่อมแซม หากมีการซ่อมแซมเครื่องใช้ไ

    ฟฟ้า ควรตัดการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นไว้ก่อนจนกว่าการซ่อมแซมจะเสร็จสมบูรณ์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการต่อสายไฟตามวิธีที่ถูกต้องก่อนใช้งานอีกครั้ง

  9. ติดตั้งระบบควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ การติดตั้งระบบควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ เช่น ระบบหลีกเลี่ยงไฟกระชาก (ground fault circuit interrupter - GFCI) หรือระบบหยุดไฟฟ้าอัตโนมัติ (circuit breaker) จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากได้อย่างมาก

  10. ปฏิบัติตามขั้นตอนการใช้งานอย่างถูกต้อง การปฏิบัติตามขั้นตอนการใช้งานเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้อง เช่น การตรวจสอบสภาพเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนใช้งาน การตรวจสอบสายไฟว่ามีการต่อเข้ากับเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้องหรือไม่ การตั้งค่าและใช้งานเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าตามคู่มือการใช้งาน เป็นต้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟกระชากได้อย่างมาก

สรุป การป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟกระชาก เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเป็นการป้องกันตนเองและคนรอบข้างจากอันตรายที่อาจเกิดขึนด้วยความรู้และเทคนิคที่เหมาะสม สามารถป้องกันไฟกระชากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า รวมถึงเลือกใช้วิธีการป้องกันที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ เช่น ใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ ตรวจสอบสภาพเครื่องมือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเป็นระเบียบ ติดตั้งระบบควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ เป็นต้น โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนการใช้งานอย่างถูกต้อง และอย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันไฟกระชากและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและพึงระวังเสมอ เพื่อสร้างสังคมที่มีความปลอดภัยและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

 : วันที่  15 พฤษภาคม 2566